“ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่” ยาอายุวัฒนะจากธรรมชาติ!

 

ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ที่เรารู้จักกันนั้นมีมากมาย แต่ที่คุ้นเคยและทานเป็นประจำ ได้แก่ บลูเบอร์รี่ ราสเบอร์รี่ สตรอเบอร์รี่ ซึ่งแต่ละชนิดก็ให้ประโยชน์แตกต่างกันออกไป  วันนี้มิสยูขอชวนเพื่อนๆมาทำความรู้จักกับประโยชน์และคุณค่าของผลไม้ตระกูลนี้กันให้มากขึ้นดีกว่านะคะ 🙂

 

อาไซอิ เบอร์รี่ (Acai Berry)

เปี่ยมไปด้วยสาร “แอนโทไซยานินส์” มีประสิทธิภาพในการต้านอนุมูลอิสระระดับสูง ช่วยต้านความเสื่อมของร่างกายและความชรา ช่วยขับสารพิษในเซลล์ได้ดี นอกจากนั้นยังเป็นผลไม้ที่มี ไฟโตเสตอรอลในปริมาณสูง สามารถช่วยลดไขมันเลว (LDL, HDL) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

บิลเบอร์รี่ (Bilberry)

ประกอบด้วยสารจำพวกฟลาโวนอยด์  ช่วยให้หลอดเลือดแข็งแรง  สารชนิดนี้ยังเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการทำงานของไต ช่วยรักษาผู้ที่มีเส้นเลือดฝอยเปราะในอวัยวะที่ทำหน้าที่กรองของเสียอีกด้วย

 

แบล็กเบอร์รี่ (Blackberry)

แหล่งรวมของกรดฟีโนลิก วิตามินซี และโฟเลตสูง ที่ช่วยเสริมสร้าง ฟื้นฟูคอลลาเจนได้ดี และยังมีสารเคมีอีกชนิดหนึ่งเรียกว่า ซาลิไซเลต สามารถช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งลำไส้ และโรคหัวใจได้

 

แบร็คเคอร์แร้นท์ (Black Currant)

อุดมไปด้วยคุณประโยชน์จากวิตามิน C ที่มีจำนวนมากกว่าส้มถึง 4 เท่า ช่วยบำรุงรักษาสุขภาพผม สุขภาพผิวหนัง และทำให้ระบบหมุนเวียนของเลือดดีขึ้น

 

บลูเบอร์รี่ (Blueberry)

พบว่ามีประโยชน์ต่อร่างกายมาก ประกอบด้วยปริมาณใยอาหารสูง โดยเฉพาะเพคติน ทำหน้าที่ช่วยลดระดับคลอเลสเตอรอล ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และฟื้นฟูความจำให้ดีขึ้นในคนชรา

 

แครนเบอร์รี่ (Cranberry)

สามารถแก้โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบได้ดี เพราะมีสารแทนนินเข้มข้นอยู่ในแครนเบอร์รี่ ช่วยต่อต้านแบคทีเรีย (anti-biotic)  ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ระบบทางเดินปัสสาวะเกิดอาการติดเชื้อนั่นเอง

 

อัลเดอร์เบอร์รี่ (Elderberry)

มีสารสำคัญ คือ แอนโธไซยานิน คุณสมบัติช่วยต้านปฏิกิริยาออกซิเดชั่นที่แรง จึงช่วยลดความเสื่อมของเซลล์และอวัยวะต่างๆในร่างกาย นอกจากนั้นยังมีฤทธิ์ต้านเชื้อไวรัส (Anti-viral) ช่วยป้องกันและบรรเทาการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ

 

ราสเบอร์รี่ (Rasberry)

สุดยอดผลไม้ที่อุดมไปด้วยคุณประโยชน์ต่างๆมากมายแก่ร่างกาย โดยเฉพาะ “สารต้านอนุมูลอิสระ”  ส่วนสารสีแดงในราสเบอร์รี่มีคุณสมบัติช่วยให้การหมุนเวียนของโลหิต เป็นปกติ และยังอุดมด้วยวิตามินA , B ช่วยให้ผิวพรรณสดใส สมานแผลต่างๆให้หายเร็วขึ้น

 

สตรอเบอร์รี่ (Strawberry)

ถือเป็นผลไม้ที่ให้วิตามินซีสูง รวมไปถึงวิตามินเอ ธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัส และแคลเซียม สำหรับวิตามินซีและวิตามินเอนั้นเป็นสารสำคัญที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ สตรอเบอร์รี่จึงเป็นผลไม้ที่มีประสิทธิภาพในการต้านอนุมูลอิสระได้สูงกว่าผลไม้อื่นๆ อย่างส้ม องุ่นแดง กีวี กล้วยหอม และมะเขือเทศ

 

โกจิเบอร์รี่ (Goji Bery)

ประกอบด้วยกรดอะมิโน 19 ชนิด และธาตุอาหาร 21 ชนิด มีโปรตีนมากกว่าโฮลวีท ซึ่งถือว่าเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของโกจิเบอร์รี่ ช่วยให้ผิวอ่อนเยาว์ขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จากการวิจัยพบว่าร้อยละ 85 ของผู้หญิง เชื่อว่าปัญหาผิวสามารถชะลอ และป้องกันได้ด้วยผลไม้ชนิดนี้ประโยชน์ที่กล่าวมามากมายขนาดนี้ เพื่อนๆอย่าลืมทานผลไม้ตระกูลเบอร์รี่เป็นประจำนะคะ หรือง่ายๆกับการดื่ม Unif น้ำผักผลไม้ สูตร Nutri Mix รสชาติใหม่ “รสน้ำผักผลไม้รวมผสมมิกซ์เบอร์รี่ 100%” รับรองว่าได้รับประโยชน์กันแบบเต็มๆค่ะ 🙂

15 อาหารช่วยเร่งให้ร่างกายเผาผลาญพลังงาน

การลดน้ำหนักโดยเลือกรับประทานอาหารให้ถูกวิธีมีชัยไปกว่าครึ่ง วันนี้เรามีอาหาร 15 อย่าง ที่ยิ่งทานก็ยิ่งช่วยเร่งการเผาผลาญในร่างกายได้ดี และยิ่งลดน้ำหนักได้ง่ายขึ้นมาฝากค่ะ

1. ส้มโอ
ช่วยลดระดับอินซูลิน เพิ่มประสิทธิภาพในการเผาผลาญ และควบคุมระดับในตาลในเลือดได้ดีอีกด้วย

2. ชาเขียว
ในชาเขียวมีสารประกอบที่ชื่อว่า คาเตชินซึ่งจะช่วยให้การออกซิเดชั่นไขมันดีขึ้น และนอกจากชาเขียวจะช่วยกำจัดไขมันในร่างกายแล้วมันยังเร่งอัตราการเผาผลาญไขมันในร่างกายได้ดีด้วยค่ะ แถมยังมีสารช่วยต่อสู้กับโรคมะเร็งและช่วยสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายด้วย ควรเลือกดื่มชาเขียวร้อน 100% ไม่ผสมน้ำตาล นมข้นหวาน ครีม หรือส่วนผสมต่างๆ ที่ให้พลังงานมากนะคะ

3. โยเกิร์ต
คนที่ทานโยเกิร์ตควบคู่ไปพร้อมกับการทานอาหารแต่ละมื้ออยู่เสมอสามารถลดน้ำหนักได้มากกว่าคนที่ไม่ทานโยเกิร์ตถึงร้อยละ 22 และลดไขมันในร่างกายได้มากกว่าคนที่ไม่ทานโยเกิร์ตถึงร้อยละ 61 อ้อ…แต่หากจะทานโยเกิร์ตอย่าลืมเลือกโยเกิร์ตรสธรรมชาติที่ไม่เติมน้ำตาลหรือผลไม้ลงไปจะดีที่สุดค่ะ

4. อัลมอนด์
ถั่วอัลมอนด์มีทั้งโปรตีน และไฟเบอร์ในปริมาณสูงแถมยังช่วยเร่งอัตราเมตาบอลิซึมในร่างกายได้ และหากทานอัลมอนด์ทุกๆ วัน จะช่วยระงับความหิวและยังให้สารอาหารชั้นดีในยามที่คุณไดเอ็ตอีกด้วย

5. กาแฟดำ
คาเฟอีนในกาแฟจะมีประโยชน์ต่อกระเพาะโดยตรง สร้างน้ำย่อยที่กระเพาะและตับอ่อนเพิ่มขึ้น ไขมันจึงถูกเผาผลาญ คาเฟอีนยังสามารถช่วยเพิ่มการเผาผลาญพลังงานในช่วงสั้นๆ คาเฟอีนในกาแฟ 2 ถ้วยสามารถเพิ่มการเผาผลาญพลังงานได้มากถึง 50 แคลลอรี่ต่อชั่วโมง ต่อเนื่องเป็นเวลา 4 ชั่วโมง

6. ไก่งวง
ในไก่งวงมีโปรตีนและไขมันต่ำ ซึ่งช่วยให้ร่างกายเร่งการเผาผลาญไขมันได้เป็นอย่างดี ป้องกันโรคสมองเสื่อม โรคอ้วน โรคหัวใจ สร้างภูมิต้านทานให้ร่างกาย

7. แอปเปิ้ล
ช่วยเสริมประสิทธิภาพให้กล้ามเนื้อเพิ่มขึ้น ช่วยต้านอนุมูลอิสระ เนื่องจากเต็มไปด้วยสารเควอซิทีน ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อลดอาการปวดหรืออักเสบถ้าคุณโหมหนักจากการออกกำลังกาย แอปเปิ้ลช่วยดูดซับไขมันไม่ให้เข้าไปในพุงด้วย แล้วยังได้ไฟเบอร์ที่ปรับระบบทางเดินอาหารให้ดีขึ้นอีก

8. ผักโขม
ช่วยกระตุ้นต่อมเร่งการเผาผลาญ ช่วยกระตุ้นให้ต่อมไร้ท่อต่างๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเผาผลาญอาหารทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ชะลอวัย ผักชนิดนี้อุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินซี วิตามินเค แคลเซียม เหล็ก และแมกนีเซียม

9. ถั่ว
ช่วยกระตุ้นฮอร์โมนเทสโทสเทอโรน ซึ่งจะช่วยเร่งสร้างกล้ามเนื้อ และเผาผลาญไขมัน นอกจากนี้ยังมีวิตามิน อี ไนอาซีน แมกนีเซียม โปรตีนจากพืช และไขมันโมเลกุลเดี่ยวที่จะช่วยจับไขมันที่ไม่ดีมาเผาผลาญ

10. พริก
ในพริกมีสารที่ชื่อว่า แคปไซซินที่จะไปช่วยเพิ่มความร้อนในร่างกาย และยังช่วยสลายไขมัน ควบคุมอาการหิว และเพิ่มพลังงานของกล้ามเนื้อช่วยเร่งให้คุณออกกำลังได้ดียิ่งขึ้น

11. บร็อกโคลี่
มีสารอาหารอย่าง “แคลเซียม” ช่วยให้ร่างกายเผาผลาญแคลอรี่ที่จะสะสมไว้เป็นไขมันส่วนเกินได้ และบร็อกโคลี่ก็มีดีที่เป็นแหล่งแคลเซียมซึ่งไม่มีไขมัน ปริมาณแนะนำต่อวัน : 1 1/2 ถึง 2 ถ้วย

12. เครื่องเทศ
ความเผ็ดร้อนของเครื่องเทศ สามารถกระตุ้นระบบเผาผลาญให้ทำงานได้ดียิ่งขึ้น

13. อบเชย
เป็นเครื่องเทศที่ช่วยเผาผลาญและสร้างกล้ามเนื้อ และยังช่วยควบคุมความหิวได้ดีอีกด้วย

14. นมถั่วเหลือง
จะช่วยเร่งการเผาผลาญไขมันลดการสะสมไขมันเก่าและการสูญเสียโปรตีนของกล้ามเนื้อ จึงทำให้กล้ามเนื้อกระชับ ไร้ไขมันส่วนเกิน และโปรตีนจากถั่วเหลืองนี้ สามารถลดคลอเรสเตอรอลในเลือดได้ และลดโอกาสเสี่ยงของโรคหัวใจ ช่วยทำให้ผิวพรรณดี กระชับ เต่งตึง ผ่องใส ผิวพรรณไม่เหี่ยวย่น และยังช่วยควบคุมน้ำหนักได้ดี เพราะโปรตีนถั่วเหลืองช่วยให้ร่างกายเผาผลาญไขมันได้ดี

15. ข้าวโอ๊ต
คาร์โบไฮเดรตจากข้าวโอ๊ตจะไม่ดูดซึมแล้วแปรเปลี่ยนเป็นน้ำตาลในร่างกาย เพราะฉะนั้นมั่นใจได้เลยว่า หากทานข้าวโอ๊ตแล้วมันจะช่วยให้น้ำหนักของคุณลดลงได้อย่างน่าแปลกใจ นอกจากนี้ข้าวโอ๊ตยังทำให้คุณอิ่มได้นานและทำให้คุณไม่เกิดความรู้สึกอยากทานอาหารมากเกินไปด้วย

น้ำผลไม้

         

641283-topic-ix-0

         สำหรับผู้ที่ลดความอ้วน การดื่มน้ำผลไม้สดวันละ 1 -2 แก้ว จะช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์ชดเชยส่วนที่ขาดไป

* อย่าใช้ผลไม้ที่ไม่มีคุณภาพ เช่น ผลไม้เสีย ผลไม้ใกล้เน่า มีรอยตำหนิช้ำดำ หรือผลไม้ฝานที่เหลือค้างจากมื้ออื่น เพราะจะทำให้เกิดกระบวนการหมักซึ่งไม่เป็นผลดีกับระบบย่อยอาหารของเราเลย ทั้งทำให้เกิดลมในท้อง เรอ จุกเสียด และปวดท้องอย่างรุนแรง ได้ไม่คุ้มเสียอย่างนี้ สู้ยอมควักสตางค์จ่ายเพิ่มขึ้นอีกนิดซื้อผลไม้สวยๆ สดๆ ดีกว่าค่ะ

* ทางที่ดีไม่ควรผสมน้ำผลไม้เข้ากับน้ำผัก เพราะจะทำให้เกิดกระบวนการหมักขึ้นได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น น้ำแอปเปิลและน้ำผักบางชนิด เช่น แคร์ร็อทและขึ้นฉ่าย สามารถจะผสมกับน้ำผลไม้ชนิดอื่นๆ ได้โดยไม่มีผลข้างเคียง ส่วนมะเขือเทศซึ่งเป็นผลไม้ก็สามารถผสมกับน้ำผักได้เช่นกัน

* ผักที่ซื้อมาจากร้าน ต้องล้างให้สะอาดจริงๆ ก่อนที่จะนำมาใช้ ไม่อย่างนั้นคุณอาจดื่มเอาเชื้อโรคเข้าไปด้วย ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อร่างกายจนถึงขั้นรุนแรงได้

* น้ำผลไม้ควรจะทำขึ้นอย่างสดใหม่ทุกครั้งและพยายามดื่มทันทีที่ทำเสร็จ ไม่ควรทิ้งค้างเอาไว้นานเกินไป

* น้ำแคร์ร็อทจะให้พลังงานแก่ร่างกายเป็นสำคัญ ดังนั้นจึงไม่ควรดื่มในตอนกลางคืนหรือใกล้เวลานอน เพราะจะทำให้นอนหลับไม่สบายได้

* ถ้าแน่ใจว่าระบบย่อยอาหารของคุณดีพอ การดื่มน้ำผลไม้ผสมหรือน้ำผักผสม ก็เปรียบเสมือนการให้ยาบำรุงขนานเอกแก่ร่างกายทีเดียว แต่สำหรับคนที่ระบบการย่อยไม่ค่อยดีเท่าไหร่ คนที่เลือกอาหาร หรือคนที่พะอืดพะอมได้ง่าย เลือกอย่างใดอย่างหนึ่งจะปลอดภัยกว่าค่ะ

* แม้ว่าการดื่มน้ำผลไม้จะดีกับร่างกาย แต่ก็ควรรับประทานผัก ผลไม้สดควบคู่ไปด้วย เพื่อให้ร่างกายได้รับอาหารที่เป็นกากใย (ไฟเบอร์) อย่างเพียงพอ ซึ่งจำเป็นอย่างมากต่อการขับถ่ายของเสีย

บัวลอยไข่หวาน

994199_634843926548553_1779857322_n

ร้อยเรื่องเล่าพันตำนาน
คลองบางกอกน้อย
ตำนานบัวลอย

สุดคลองบางกอกน้อย…. พายเรือตามหาบัวลอย จนเหงื่อพี่ย้อยโซมกาย เสียงร้อง  เพลงของนายท้ายที่นอนร้องเพลง เปิดพุงสบายใจเฉิ่ม แว่วมาเข้าหูผมในช่วงบ่ายของวัน อาทิตย์  ขณะที่กำลังแอบอู้งานนอนอยู่บนเรือที่ลอยอยู่กลางแม่น้ำเจ้าพระยาเพื่อรอลูกทัวร์ จึงหยิบดินสอกับสมุดพกมาเขียนเรื่องตำนานบัวลอยคลองบางกอกน้อย

ตำนานบัวลอย จะว่ามีที่มาจากขนมบัวลอยก็ไม่เชิง แต่จะว่าไม่ใช่ก็ไม่ได้เหตุเกิด จากเมื่ออดีตกาลนานมาแล้วมีสตรีตั้งท้องต้องการที่จะช่วยแบ่งเบาภาระผัวโดยการทำขนมขาย แม้ผัวจะห้ามปราอย่างไรก็ไม่ฟัง เมื่อผัวไปทำงานก็จะทำขนมบัวลอยใส่เรือแล้วพาย ไปขายในคลอง ชาวบ้านที่จะซื้อก็จะตะโกน
“บัวลอยจ้า..บัวลอยมาทางนี้หน่อย” และด้วยขนมบัวลอยทำจากกระทิ เมื่อทำเสร็จแล้วก็เอาลงเรือขายเลยประกอบกับฝีมือการทำขนม บัวลอยที่มีความอร่อยจนติดอกติดใจชาวบ้าน จนใครๆก็เรียกเธอว่า “บัวลอย”

วันหนึ่งเมื่อผัวกลับจากทำงานไม่เห็นเมียสุดที่รัก จึงพายเรือตามหาบัวลอยพร้อม กับร้องตะโกนว่า “บัวลอย บัวลอย” แต่ก็ไม่พบแม้แต่เรือ
ของเธอ หลังจากนั้นไม่นานก็มีคน พบศพเธอลอยไปติดอยู่ที่ท่าเรือของวัดในคลองจึงมีการนำขึ้นมาทำพิธีตามศาสนาและด้วย ความเชื่อของคน ไทยที่ว่า ถ้าตายท้องกลมผีจะเฮี้ยนจึงไม่ได้มีการเผาแต่แค่ฝั่งเอาไว้ และ มีบางคนมาขอหวยปรากฎว่าถูกจนโด่งดังไปทั่วผู้คนถูกหวยเป็นว่าเล่น

แต่แล้วเช้าวันหนี่งศพของบัวลอยก็หายไป คาดว่าเจ้ามือหวยคงมาทำการขุดศพเอาไปทิ้งและสะกดวิญญาณไว้ หลังจากนั้นตำนานบัวลอย ก็เริ่มถูกลืมเลือนไปตามกาลเวลา  แต่นี้เป็นเรื่องที่เล่าต่อๆกันมาของคลองบางกอกน้อย และได้มีการนำมาทำ เป็นเพลง ดังเพลง บางกอกน้อยที่ ครู ศรเพชร ศรสุพรรณ ได้นำมาขับร้อง

อาหารฟิวชั่น (Fustion food)



20120425_3_1335348807_174796 อกเป็ดซ้อสส้ม

โลกปัจจุบันได้ถูกย่อให้เล็กลงด้วยเครื่องมือสื่อสารอันทันสมัยไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ถึงแม้อยู่ไกลกันเพียงไหนก็สามารถติดต่อ
สื่อสารกันได้ ในเรื่องของอาหารก็เช่นกัน อาหารของแต่ละชาติได้ถูกส่งเข้าไปข้ามชาติได้อย่างรวดเร็ว ต่อมาจึงได้มีการประยุกต์
ดัดแปลงผสมผสานอาหารของชาติต่างๆ เกิดเป็นอาหารจานใหม่ขึ้นอาหารผสมผสานระหว่างชาตินั้นมีชื่อเรียกว่า fusion food
คำนี้จะรู้จักกันมากในวงการนักทำอาหาร การทำอาหารฟิวชั่นนั้นไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัวว่าต้องเป็นอาหารชาติใดผสมผสานกับอาหารชาติใด ใช้เครื่องปรุงอะไร รสชาติแบบใด วิธีการปรุงทำอย่างไร และมีวิธีการจัดจานอย่างไร ส่วนใหญ่อาหารฟิวชั่นเกิดขึ้นจากนักทำอาหารได้เรียน รู้จักเครื่องปรุงอาหารของชาติอื่นว่ามีรสชาติ สรรพคุณ คุณค่าอาหารอย่างไร แล้วนำมาปรับให้เข้ากับอาหารของชาติตนเองอาหารฟิวชั่นที่ตอนนี้กำลังนิยมกันมากก็คือ อาหารของชาติตะวันตกที่ได้นำเอาเครื่องเทศ สมุนไพรของชาติตะวันออกเข้าไปใส่เป็นเครื่องปรุงของอาหารนั้นๆ ด้วย อาจจะเป็นการผสมผสานระหว่างอาหารฝรั่งเศส แคลิฟอร์เนีย แล้วใส่เครื่องเทศ สมุนไพร พวกข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด หรือไม่ก็อาหารไทย ผสมกับอาหารฝรั่งเศส อาหารอิตาเลียน เป็นต้น สำหรับในบ้านเรา อาหารฟิวชั่นได้บรรจุลงในเมนูร้านอาหารของคนรุ่นใหม่ ซึ่งลูกค้าส่วนมากจะเป็นวัยรุ่นที่ยอมรับอาหารใหม่ๆ ได้ จานยอดนิยมมีอยู่ด้วยกันหลายจาน เช่น สปาเกตตีผัดขี้เมา อุด้งต้มยำกุ้ง เป็นต้น ไม่เพียงเท่านี้ อาหารฟิวชั่นก็ยังได้บรรจุอยู่ในเมนูของห้องอาหารและภัตตาคารในโรงแรมชั้นนำ ซึ่งส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากฝีมือของเชฟชาวต่างชาติ

 

COCKTAIL

008 _MG_6507re 2009-05-20_003539_1.2

อาหาร cocktail คืออาหารที่ใช้ ศิลปะ ไอเดีย และรสชาติผสมกลมกลืนกัน

เริ่มจากการบรรจงคัดสรรคุณภาพของอาหาร บวกกับความพิถีพิถันในการจัดเตรียม

ทำให้เกิดการจัดรูปแบบของอาหารค็อกเทลขึ้น

ศิลปะ กลายเป็นอาหาร

ที่มีลูกเล่นในกับงานเลี้ยงได้เป็นอย่างดี …..

ปัจจุบันอาหารค็อกเทลเป็นอาหารที่ได้รับความนิยมมากยิ่งขึ้น

ในการเปิดตัวสินค้า งานฉลองมงคลสมรส และอีกมากมาย

ทั้งนี้เราได้ออกแบบ ตัวอย่างเมนูรายการอาหารค็อกเทล

เพื่อให้ลูกค้าได้เข้ามาเลือกสรร

ทั้งอาหารว่าง อาหารหลัก ขนม รวมถึงผลไม้ ไอศครีม และเครื่องดื่ม

ทั้งหมดนี้ได้ผสมกับการออกแบบให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าได้ในแต่ละงาน

“Ice Cream”

 

color-ice-cream-free-desktop-wallpaper-5000x3327609478-topic-ix-23

จุดเริ่มต้นของไอศกรีมในระดับสากล นายโทมัส อาร์ควินนี่ เล่าว่า การรับประทานไอศกรีมน่าจะเริ่มต้นกันมาตั้งแต่สมัยจักรพรรดิเนโรห์ แห่งอนาจักรโรมันที่ได้พระราชทานเลี้ยงไอศกรีมแก่เหล่าทหารหาญที่อยู่ในกองทัพของพระองค์ แต่ในขณะนั้นไอศกรีมเกิดจากเป็นการนำหิมะมาผสมเข้ากับน้ำผึ้งและผลไม้ ต่อมาเรียกไอศกรีมประเภทนี้ว่า เชอร์เบ็ท(Sherbet)นั่นเอง แต่ตำนานนี้ก็หาได้เป็นแค่ตำนานเดียวที่เล่าสืบต่อกันมาถึงต้นกำเนิดของไอศกรีม หากแต่บางกระแสก็ระบุว่าบรรพชนของคนจีนค้นพบไอศกรีมเป็นครั้งแรก เมื่อประมาณ 4,000 ปีที่ผ่านมา ซึ่งลักษณะของไอศกรีมในประเทศจีนทำมาจากข้าวบดผสมกับนมสดที่เย็นจนเป็นนำแข็งและได้มีการสอนให้ทำไอศกรีมให้กับคนอินเดียและชาวเปอร์เชียอีกด้วย การก่อกำเนิดไอศกรีมตามตำนานประเทศจีนระบุว่า เป็นเรื่องของความบังเอิญแท้ๆ ทั้งนี้เป็นที่ทราบกันดีว่าประเทศจีนในสมัยนั้นเพิ่งจะมีการรู้จักรีดนมจากสัตว์เลี้ยงที่อยู่ในฟาร์ม เมื่อรีดออกมาจำนวนมากก็บริโภคไม่หมด ประกอบกับน้ำนมเป็นสินค้าที่มีราคาแพงมากๆ คนชั้นสูงเห็นท่าไม่ดี จึงเกิดแนวคิดนำน้ำนมไปหมกซ่อนไว้ในหิมะนัยว่าเพื่อต้องการที่จะถนอมน้ำนมเอาไว้รับประทานได้

      เล่ากันว่า”ไอศครีม”มีต้นกำเนิดมาจากดินแดนในต่างประเทศ ทั้งนี้ได้แพร่กระจายเข้ามาในประเทศไทยเมื่อสมัยรัชกาลที่ 5 ในสมัยนั้นส่วนใหญ่จะใช้รับประทานกันแต่ภายในวังเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากไอศกรีมเป็นอาหารหวานที่ทันสมัยหรืออาจจะเรียกได้ว่าเป็นนวัตกรรมใหมาก็ว่าได้ ใครได้ลองรับประทานไอศกรีมในสมัยนั้นก็ถือว่า เป็นคนที่ก้าวล้ำนำสมัยไปโดยปริยาย สืบสาวต้นกำเนิดไอศกรีมยุคโบราณ จุดเริ่มต้นของไอศกรีมในระดับสากล นายโทมัส อาร์ควินนี่ เล่าว่า การรับประทานไอศกรีมน่าจะเริ่มต้นกันมาตั้งแต่สมัยจักรพรรดิเนโรห์ แห่งอนาจักรโรมันที่ได้พระราชทานเลี้ยงไอศกรีมแก่เหล่าทหารหาญที่อยู่ในกองทัพของพระองค์ แต่ในขณะนั้นไอศกรีมเกิดจากเป็นการนำหิมะมาผสมเข้ากับน้ำผึ้งและผลไม้ ต่อมาเรียกไอศกรีมประเภทนี้ว่า เชอร์เบ็ท(Sherbet)นั่นเอง แต่ตำนานนี้ก็หาได้เป็นแค่ตำนานเดียวที่เล่าสืบต่อกันมาถึงต้นกำเนิดของไอศกรีมไม่ หากแต่บางกระแสก็ระบุว่าบรรพชนของคนจีนค้นพบไอศกรีมเป็นครั้งแรก เมื่อประมาณ 4,000 ปีที่ผ่านมา ซึ่งลักษณะของไอศกรีมในประเทศจีนทำมาจากข้าวบดผสมกับนมสดที่เย็นจนเป็นนำแข็งและได้มีการสอนให้ทำไอศกรีมให้กับคนอินเดียและชาวเปอร์เชียอีกด้วย การก่อกำเนิดไอศกรีมตามตำนานประเทศจีนระบุว่า เป็นเรื่องของความบังเอิญแท้ๆ ทั้งนี้เป็นที่ทราบกันดีว่าประเทศจีนในสมัยนั้นเพิ่งจะมีการรู้จักรีดนมจากสัตว์เลี้ยงที่อยู่ในฟาร์ม เมื่อรีดออกมาจำนวนมากก็บริโภคไม่หมด ประกอบกับน้ำนมเป็นสินค้าที่มีราคาแพงมากๆ คนชั้นสูงเห็นท่าไม่ดีจึงเกิดแนวคิดนำน้ำนมไปหมกซ่อนไว้ในหิมะนัยว่าเพื่อต้องการที่จะถนอมน้ำนมเอาไว้รับประทานได้นานๆ

Cupcake

cupcakes_01

“cupcake” ถูกพบครั้งแรกในปี 1828 ในหนังสือ Eliza Leslie’sReceipts cookbook ในช่วงต้นศตวรรรษที่ 19 มีการเขียนทั้งแบบ Cup cake และ Cupcake เดิมที่สมัยก่อนจะอบ Cupcake ในถ้วยกระเบื้องกัน

คัพเค้ก ( Cupcake ) เริ่มแรกที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ราวช่วงต้นศตวรรษที่ 19 คิดขึ้นมาเพื่อต้องการประหยัดเวลาในการทำจีงได้คิดทำเค้กเป็นถ้วยๆขึ้นมา ซึ่งจริงๆต้นกำเนิดแล้วคำว่า Cupcake นั้น นักประวัติศาสตร์ด้านอาหารคิดว่าน่าจะมาจาก 2 ทฤษฏี คือ

  • มาจากการทำเค้กในถ้วย จึงเรียกว่า คัพเค้ก (Cupcake)
  • มาจากเวลาทำเค้กชนิดนี้ มาตราส่วนในการตวงใช้ เป็นถ้วย จึงเรียกว่า คัพเค้ก (Cupcake)

จริงๆแล้ว เริ่มแรกของเค้กชนิดนี้ เดิมเรียกว่า “ Number Cake , 1234 cakes , quarter cakes ” เพราะว่ามันง่ายในการจำสูตรในการทำ เนย 1 ถ้วย , น้ำตาล 2 ถ้วย , แป้ง 3 ถ้วย , ไข่ไก่ 4 ฟอง , นม 1 ถ้วย ,ผงฟู 1 ช้อนโต๊ะ ผสมกันอบเสร็จก็กลายเป็น Cupcake แต่ในปัจจุบันมีการพัฒนา Cupcake โดยส่วนผสม,รูปร่าง,การตกแต่ง ที่หลากหลาย จึงเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย

คัพเค้ก (Cupcake) ทำง่าย สะดวกรวดเร็วกว่า การทำเค้กทั่วไปที่มีขนาดใหญ่ หลังจากอบเสร็จมีการตั้งเอาไว้ให้หายร้อนในเตาอบ ทำให้เค้กไหม้ มัฟฟินทิน (Muffin tin) จึงได้ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายในช่วงศตวรรษที่ 20 ถือเป็นช่วงในการเริ่มต้นทำ Cupcake ในถ้วยอลูมิเนียม , ถ้วยกระดาษสีสวยๆที่เราเห็นกันอยู่ในปัจจุบัน

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาทำให้ คัพเค้ก ( Cupcake) ได้รับความนิยมอย่างมากมายในปัจจุบัน มีร้านขาย Cupcake เปิดขึ้นอย่างรวดเร็ว คัพเค้กยอดนิยม ก็ยังคงเป็นรสวานิลา (Vanilla)) และช็อคโกแล็ต ( Chocolate ) ส่วนรสอื่นๆ ก็มี ราสเบอรรี่ เมอแรง (raspberry meringue) ,เอสเพลสโซ่ ฟรัดจ์ (Espresso fudge)